วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สินค้า OTOP จังหวัดสุรินทร์

สินค้า OTOP จังหวัดสุรินทร์
เครื่องประดับงาช้าง
ประวัติความเป็นมา 
     ชาวกวย ตำบลกระโพเป็นกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีมายาวนาน ในอดีตชาวกวยจะคล้องช้างป่ามาฝึกไว้ใช้งาน การเลี้ยงช้างของชาวบ้านเป็นการเลี้ยงในลักษณะที่ช้างเป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของครอบครัว ช้างและคนได้อยู่ด้วยกัน มีความผูกพันกันอย่างเหนียวแน่น
     การแกะสลักงาช้าง เกิดขึ้นจากการที่ในชุมชนมีงาช้างซึ่งได้จากการตัดจากช้างที่ยังมีชีวิตหรืออาจตัดจากช้างที่เสียชีวิตไปแล้วซึ่งแต่เดิมเจ้าของช้างก็จะเก็บงาไว้บูชาเองหรืออาจจำหน่ายให้คนที่ต้องการเก็บไว้เพื่อความเป็นสิริมงคล ต่อมาคนในชุมชนบางคนที่มีความสามารถในการแกะสลักไม้ ก็ได้นำงาช้างมาแกะสลัก ในช่วงแรกมักจะแกะเป็นพระพุทธรูปและแจกให้คนที่รู้จักหรือคนที่เคารพนับถือกัน แต่เมื่อมีคนนิยมมากขึ้น จึงมีแนวคิดที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ของชุมชน โดยการนำงาช้างมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น แหวน กำไล สร้อยคอ เป็นต้น
กลุ่มผู้ผลิตเครื่องประดับงาช้าง เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 5-10 คน ในวงเครือญาติ โดยมีจุดประสงค์ในการระดมหุ้นเพื่อช่วยเหลือสมาชิกภายในกลุ่ม แต่เนื่องจากมีผู้สนใจจะร่วมหุ้นอีกหลายราย จึงได้ขยายกลุ่มสมาชิกจากเครือญาติไปถึงบุคคลทั่วไป โดยเน้นสมาชิกใหม่ทุกคนจะต้องเป็นสมาชิกของสหกรณ์ผู้เลี้ยงช้างสุรินทร์ จำกัด  26 สิงหาคม 2546กลุ่มผู้ผลิตเครื่องประดับงาช้าง ได้รับเงินสนับสนุนจากสหกรณ์จังหวัดสุรินทร์เป็นจำนวนเงิน40,000 บาท โดยสนับสนุนผ่านสหกรณ์ผู้เลี้ยงช้างสุรินทร์ จำกัด เพื่อให้กลุ่มได้ไปดำเนินธุรกิจให้เต็มรูปแบบ ทำให้กลุ่มมีความเข้มแข็งขึ้น สามารถดำเนินกิจกรรมกลุ่มได้อย่างมีคุณภาพ
    กิจกรรมหลักของกลุ่ม คือ การผลิตเครื่องประดับงาช้าง จำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวและบุคคลทั่วไปและได้มีการพัฒนาจนเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ สวยงาม ได้รับคัดเลือกให้เป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของตำบลกระโพ และได้รับคัดเลือกให้เป็นสินค้า OTOP ของจังหวัดสุรินทร์ ในปี 2549 ได้รับคัดสรรเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP ระดับ 3 ดาว และสามารถพัฒนามาเรื่อยๆจนได้ระดับ 5 ดาว ในปี 2553
เอกลักษณ์/จุดเด่นผลิตภัณฑ์
    การนำงาช้างซึ่งมีคุณค่าอยู่ในตัวเพราะคนเชื่อว่าเป็นสิ่งที่เป็นสิริมงคลและเป็นของที่หายากมาสร้างคุณค่าให้สูงขึ้น โดยการนำมาแกะสลักเป็น พระพุทธรูป ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนเคารพบูชา หรือเป็นเครื่องประดับที่มีความสวยงาม ลายธรรมชาติของงามีความงดงามอยู่แล้ว เมื่อผสมผสานกับลวดลายการแกะสลักที่มีความประณีต ลวดลายละเอียดอ่อนช้อย ทำให้เป็นผลิตภัณฑ์งาช้างแกะสลักเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทรงคุณค่าและเป็นที่ต้องการของบุคคลทั่วไป
มาตรฐานและรางวัลที่ได้รับ
    1. มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน มผช.๖๘/๒๕๔๖
    2. OTOP คัดสรร ระดับ ๕ ดาว ปี ๒๕๕๓
ความสัมพันธ์กับชุมชน
    การถ่ายทอดความรู้และเทคนิคในการแกะสลักจากรุ่นสู่รุ่น จากเพื่อนสู่เพื่อน ทำให้คนในชุมชนเกิดความรู้สึกผูกพันกัน การรวมกลุ่มทำให้เกิดความใกล้ชิดเสมือนญาติพี่น้อง วัตถุดิบและแรงงานทั้งหมดมาจากชุมชน การซื้อวัตถุดิบงาช้างจากชุมชนทำให้เกิดรายได้แก่คนในชุมชน คนในชุมชนเรียนรู้ที่จะพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน


 วัตถุดิบและส่วนประกอบ
    ๑.งาช้าง
    ๒. เลื่อย
    ๓. เครื่องเจีย
    ๔. ตะไบ
    ๕. เครื่องขัดเงา


ขั้นตอนการผลิต


    ๑. การตัดงาจากช้าง ชาวกวย จะมีความผูกพันกับช้างเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าการปฏิบัติใดๆ ต่อช้าง จะต้องมีความเหมาะสม เพื่อความเป็นสิริมงคล จึงต้องมีพิธีกรรมในการตัดงา ต้องดูฤกษ์ยาม โดยพิธีกรรมนี้ต้องทำโดยหมอช้างระดับครูบาใหญ่ มีการเซ่นไหว้ศาลปะกำใหญ่ก่อน แล้วค่อยเซ่นปะกำย่อยอื่นๆ ตามลำดับ โดยมีเครื่องเซ่นไหว้ได้แก่ ธูป เทียน ไก่ต้ม ขนมหวาน กรวยดอกไม้ ข้าวสาร เงิน และสิ่งที่จะขาดไม่ได้คือ เหล้า จากนั้นจึงทำพิธีการตัด โดยครูบาใหญ่จะมีการท่องคาถาก่อน แล้วก็จะพิจารณาความยาวของงาที่จะตัดออกให้เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ตัดโดนโพรงงาที่มีเส้นเลือด และเส้นประสาท ซึ่งอาจทำให้ช้างตายได้จากการเสียเลือดหรือติดเชื้อบาดทะยัก เมื่อตัดเสร็จครูบาใหญ่ก็จะทำการคล้องสายสิญจน์ที่หูช้าง และคอ ก็เป็นอันเสร็จพิธี เป็นที่น่าสังเกตว่าทุกครั้งที่มีการทำพิธีกรรมตัดงา จะต้องมีการตัดขนหางด้วย และช้างที่เข้าพิธีจะยืนนิ่ง ไม่มีความหวาดกลัวในการตัดงาเลย
    ๒. การตัดงาเพื่อเตรียมนำมาแกะสลัก โดยการตรึงไว้กับอุปกรณ์ แล้วตัดโดยใช้เลื่อย ค่อยๆตัดไปรอบ ๆ งาช้าง
    ๓. เจียงาให้เรียบและขึ้นรูปตามต้องการ ในขั้นตอนนี้ ต้องอาศัยความชำนาญในการขึ้นรูปเพื่อได้ผลิตภัณฑ์ที่สวยงามสมส่วน
    ๔. แกะสลัก โดยใช้ตะไบลงรายละเอียดทีละขั้น ในปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าจึงใช้ตะไบไฟฟ้าแทนตะไบธรรมดาซึ่งทำให้ใช้ เวลาในการแกะสลักเร็วขึ้น ในขั้นตอนนี้จะต้องใช้ความประณีตและใช้เวลานานที่สุด
    ๕. เมื่อเสร็จจากขั้นตอนการแกะสลัก ก็นำผลิตภัณฑ์ไปขัดให้เงาด้วยเครื่องขัดเงา




กลุ่มผู้ประกอบการ
ชื่อกลุ่ม : กลุ่มผู้ผลิตเครื่องประดับงาช้าง
สถานที่ผลิต : หมู่ 1 ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
ประธานกลุ่ม : นางวันนา อินทอง
รองประธาน : นายพจน์ การะเกษ


สถานที่ตั้งกลุ่ม : บ้านเลขที่ 2/3 หมู่ 1 ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ โทร. 081-7603786
เส้นทางคมนาคม : รถยนต์ส่วนตัว
จากตัวเมืองสุรินทร์ ไปทางทิศเหนือตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๔ ถนนปัทมานนท์ เส้นทางสายสุรินทร์ – ร้อยเอ็ด 
เลี้ยวซ้ายเมื่อถึง กม. ๓๖ ที่แยกบ้านหนองตาด ตำบลเมืองแก 
อำเภอท่าตูม ขับมาตามเส้นทางอีกประมาณ ๑๘ กิโลเมตร
แหล่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์
    1. สถานที่ตั้งกลุ่ม: บ้านเลขที่ 2/3 หมู่ 1 ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ โทร. 081-7603786
      2. ออกร้านจำหน่ายในงานและนิทรรศการต่างๆ
งานแสดงช้างและงานกาชาด จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี ในช่วงเดือนพฤศจิกายน
งาน OTOP CITY ในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
งานจำหน่ายสินค้า OTOP ในจังหวัดและต่างจังหวัด



ขอบคุณข้อมูลจาก  :   https://souvenirbuu.wordpress.com/ภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย/ภูมิปัญญาภาคตะวันออกเฉ/ของใช้/เครื่องประดับงาช้าง/

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558


กาละแมสดศีขรภูมิ อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์



              ศีขรภูมิ เป็นอำเภอหนึ่งที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในจังหวัดสุรินทร์ เป็นที่ตั้งของโบราณสถานปราสาทศีขรภูมิ หรือปราสาทระแงง จึงมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาชมที่อำเภอศีขรภูมิแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย นอกจากปราสาทศีขรภูมิที่มีชื่อเสียงแล้วนั้น ของฝากของที่อำเภอนี้ก็มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน เป็นของฝากที่ใครไปใครมาไม่ควรพลาดนนั่นก็คือ “กาละแมสดศีขรภูมิ”  จุดเด่นของกาละแมสดศีขรภูมิที่แตกต่างจากกาละแมอื่น ๆ คือความสดทำใหม่กันทุกวันไม่ใส่วัตถุกันเสีย กาละแมมีกลิ่นหอมใบไม้(น่าจะเป็นใบตอง) รสชาติหวานมัน ไม่หวานจัด เนื้อกาละแมเนียน นุ่มรับประทานง่าย




การทำกาละแมสดศีขรภูมิ

วัตถุดิบในการผลิตกาละแมสดศีขรภูมิ

1. มะพร้าว
2. แป้งข้าวเหนียว
3. น้ำตาลทราย
4. น้ำตาลปี๊บ
5. เปลือกมะพร้าวเผา ( ด่างที่มีสีดำ )
6. ใบตองที่รีดแล้วแล้วตัดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
7. กระดาษแก้วสี

วิธีทำกาละแมสดศีขรภูมิ

1.เอามะพร้าวที่เรากระเทาเอากะลาออกแล้วนำมาขูดให้ละเอียดแล้วนำมะพร้าวที่ขูดแล้วมาขั้นเอากะทิ 3 ครั้ง
2. เอาน้ำกะทิที่เราคั้นเสร็จแล้วนำมาต้มให้เดือดเพื่อให้กะทิแตกมัน
3. เอาเปลือกมะพร้าวเผา ( ด่างที่มีสีดำ ) เอามากรองกับน้ำเพื่อให้ได้น้ำด่างสีดำแล้วเอามาใส่กะทิที่กำลังต้มให้
เดือดอยู่
4. หลังจากนั้นก็เอาน้ำตาลทรายและน้ำตาลปี๊บใส่ลงไปในน้ำกะทิผสมกับน้ำด่างที่กำลังต้มให้เดือดอยู่
5. หลังจากที่ต้มกะทิได้ประมาณ 30-45 นาที ขั้นตอนต่อไปให้นำแป้งข้าวเหนียวที่ได้เตรียมไว้แล้วเทใส่ลงไปในกะทิที่ต้มอยู่
6. เรากวนไปเรื่อยๆประมาณ 1-2 ชั่วโมง สังเกตดูว่ากาละแมที่เรากวนอยู่นั้นกาละแมขึ้นพายแล้วหรือยังถ้ากาละแม ขึ้นพายแล้วให้ใช้มือแตะเนื้อกาละแมดูว่าถ้าเนื้อไม่ติดมือแล้วให้ยกกาละแมลงจากเตาแล้วเทใส่ถาดที่เตรียมไว้ให้กาละแมเย็น
7. หลังจากที่กาละแมเย็นแล้วก็เอากาละแมมาจับเป็นชิ้นๆแล้วนำกาละแมที่เป็นชิ้นหยิบขึ้นมาใส่ในใบตองที่ตัดขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วก็นำมาม้วนเป็นวงกลมเสร็จแล้วนำมาม้วนเป็นวงกลมกับกระดาษ
แก้วสีต่างๆ





ที่มา :
www.thongteaw.com/food/ของฝาก_content/กาละแมศีขรภูมิ%20จ.สุรินทร์.html
www.m,culture.in.th/moc_new/album/154134/การทำกาละแมสดศีขรภูมิ/



วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ วัดเขาศาลา อำเภอบัวเชด

วัดเขาศาลา




พุทธอุทยาน วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร ตำบลจรัส อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ ตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีป่าและภูเขาล้อมรอบ มีเนื้อที่ ครอบคลุม ประมาณ 10,865 ไร่ พื้นที่กว้างใหญ่ มีธรรมชาติที่สวยงาม ซี่งไม่ไกลจากหมู่บ้านดิฉันมากนัก ทิวทัศน์ที่เห็นสวยงามมาก ผืนป่าบางส่วนติดชายแดนไทย-กัมพูชา  เป็นภูเขาลูกหนึ่งของเทือกเขาพนมดงรัก แต่ก่อนชาวบ้านเรียกว่า “เขาศาลา” เป็นภูเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์ ทิวทัศน์โดยรอบสวยงามมาก จนได้สมญานามว่าสวิสเซอร์แลนด์แห่งแดนอีสานใต้” ปัจจุบันเขาศาลาเป็นที่ตั้งวัดเขาศาลาฯ ที่เคร่งครัดในการปฏิบัติธรรม โดยพระอาจารย์ นักพัฒนาและอนุรักษ์ พระอาจารย์เยื้อน  ขันติพโล สิ่งที่สำคัญและน่าสนใจบนเขาศาลามี ผานางคอยหรือผาพระนั้นเอง  นอกจากนั้น  ยังมีพระพุทธบาทจำลอง พระพุทธรูปศิลาจำหลัก พระพุทธรูปปางนาคปรก และพระพุทธบารมีสยามบุรีพิทักษ์

พระพุทธบารมีสยามบุรีพิทักษ์

รอยพุทธบาทที่สลักอยู่บนโขดหิน ภายในวัดเขาศาลา เป็นรอยพุทธบาทเบื้องขวา

จากการสำรวจพบว่า รอยพุทธบาทสลักอยู่ที่ใต้โขดหินร่มไม้ใหญ่ ห่างจากกุฏิไปราว 400 เมตรและมีความสูงจากพื้นราว 2เมตร ลักษณะของรอยพุทธบาทเป็นพระบาทเบื้องขวา ประทับลึกไปบนแผ่นหิน 2เซนติเมตร พระบาทเกือบยาวเสมอกันหมดและลายนิ้วเป็นรูปก้นหอย ขนาดความยาวของรอยพุทธบาท 320เซนติเมตร ความกว้างช่วงนิ้วเท้า150เซนติเมตรและความกว้างที่ส้นเท้า70เซนติเมตร ด้านวงขอบนอกของรอยพระพุทธบาทเป็นลายเม็ดประคำและกลีบบัวโดยรอบ ซึ่งรอยพุทธบาทเป็นคติความเชื่อสากลที่พบอยู่ในอารยธรรมเกือบทุกถิ่นในโลก ด้วยเชื่อว่าเป็นรูปรอยของเทพเจ้าหรือผู้ทรงความศักดิ์สิทธิ์ที่ประทับลงในโลก หรือเป็นเครื่องหมายที่บรรพบุรุษได้ทิ้งไว้เป็นแนวทางการประพฤติปฏิบัติของบุคคลรุ่นหลัง เป็นที่กราบไหว้และบูชาสักการะของทุกคน  เขาศาลาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์รู้จักกันแพร่หลาย



มองจากวัดเขาศาลาลงไป เป็นเขื่อนเก็บน้ำบ้านจรัส

แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์ และยังมีเขื่อนเก็บน้ำบ้านจรัส  สร้างโดยกรมชลประทาน กั้นลำห้วยจรัสที่มีแหล่งน้ำต้นกำเนิดจากภูเขา 3 ลูก เป็นเขื่อนที่สร้างไว้เพื่อการ เกษตรกรรม บริเวณเขื่อนเหมาะที่จะเป็นที่ท่องเที่ยว เพราะโดยรอบมีทัศนียภาพที่ สวยงามอากาศเย็นสบาย ถ้ายืนอยู่ที่สันเขื่อนจะมองเห็นภูเขา 3 ลูก คือ เขาหงษ์ เขานพ และ เขาศาลา หรือที่เรียกกันว่าไตรคีรี บริเวณใต้เขื่อนมีธารน้ำไหล เหมาะแก่การนั่งพักผ่อนหย่อนใจ



นอกจากนั้นแล้ววัดเขาศาลายังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของทุกคน ที่ต้องการความสงบทางจิตใจ บางครั้งคณาจารย์จากโรงเรียนต่างๆ นำลูกศิษย์มาเข้าค่ายปฏิบัติธรรมที่วัดเขาศาลา เพราะเป็นสถานที่ที่สงบแห่งหนึ่ง


บรรยากาศที่สวยงามช่วงค่ำคืน 


แผนที่การเดินทาง





















วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

เที่ยวชมหมู่บ้านช้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก หมู่บ้านช้าง ณ บ้านกระโพ-ตากลาง อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์



ศูนย์คชศึกษาหมู่บ้านช้างบ้านตากลาง

หมู่บ้านช้าง ณ บ้านกระโพ-ตากลาง อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ที่นี่ช้างเปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งครอบครัว ซึ่งเป็นวิถีชีวิต ความเชื่อ ประเพณีที่สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ของชาวส่วยหรือชาวกวย ที่ทุกบ้านต้องเลี้ยงช้างเพื่อเป็นสิ่งมงคลให้กับตนเอง จนกลายมาเป็นหมู่บ้านช้างเลี้ยงขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพราะทุกครัวเรือนของหมู่บ้านช้างแห่งนี้เลี้ยงช้างไว้ทุกหลัง จนกลายเป็น ศูนย์คชศึกษา หมู่ข้านช้างแห่งบ้านตากลาง จังหวัดสุรินทร์
บ้านตากลางหรือหมู่บ้านช้าง จังหวัดสุรินทร์ มีเอกลักษณ์ ทั้งในด้านภาษาพูดและความเป็นอยู่รวมกันระหว่าง คนกับช้าง โดยคนในชุมชนจะยึดถือ ศาลปะกำ ช้างเป็นหลัก และยังเป็นชุมชนที่ยังหลงเหลือให้ดูเพียงหนึ่งเดียวในโลกคือ ชุมชนชาวกวยเลี้ยงช้าง มีคุณค่าต่อชาวโลกด้านวัฒนธรรมประเพณีมาทุกยุคทุกสมัย จนกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม เช่น ประเพณีกราบไหว้ศาลปะกำประจำตระกูล วัฒนธรรมประเพณีลอดท้องช้าง วัฒนธรรมประเพณีบวชนาคแห่นาคด้วยช้าง วัฒนธรรมประเพณีการเคารพกฏ ระเบียบข้อปฏิบัติ ข้อห้ามของหมอช้างเป็นต้น จังหวัดสุรินทร์ไม่ว่าจะเป็นงานบุญอะไรก็มักจะได้เห็นช้างเป็นอีกพาหนะสำคัญที่ต้องมีในขบวนแห่แทบทุกงาน ช้างที่จังหวัดสุรินทร์แห่งนี้จึงเป็นช้างเลี้ยงที่มีจำนวนมากในหลายพื้นที่แทบทุกอำเภอ โดยเฉพาะที่ อำเภอท่าตูม อำเภอชุมพลบุรี และกิ่งอ.พนมดงรัก
บ้านกะโพ ตากลาง เป็นชุมชนชาวกวยขนาดใหญ่ที่มีเขตติดต่อกันหลายหมู่บ้าน บริเวณริมแม่น้ำมูลและลำน้ำชี หรือที่เรียกกันว่าชาวส่วยโบราณ ในหมู่บ้านแทบทุกหลังคาเรือนจะมีศาลประกำเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้าน ศาลปะกำ ที่ชาวบ้านกราบไหว้บูชาเป็นวัตถุที่สมมุติใช้เรียกแทนบรรพบุรุษ ผู้ทรงคุณค่า มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความสามารถทางคชศาสตร์ คชเวช คชลักษณ์ ในการปฏิบัติต่อกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มีความผูกพันกับช้างมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พิธีกรรมต่างๆในชุมชนคนเลี้ยงช้างของชาวกวยอาเจียง ทุกอย่างมักจะผูกพันเกี่ยวโยงถึงช้างหรือศาลปะกำเสมอ
ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีศูนย์คชศึกษา การอยู่ร่วมกันของช้างกับคนของที่นี่ก็เป็นไปแบบเรียบง่ายลักษณะแบบชาวบ้านโบราณ เมื่อถึงฤดูทำนาก็จะนำช้างออกไปเลี้ยงไว้ที่นาด้วย เย็นก็นำกลับมาผูกไว้ที่เสาบ้าน เมื่อเข้าหน้าแล้งการหาอาหารให้ช้างค่อนข้างลำบากเพราะอีสานเป็นเมืองแล้ง พืชพรรณต่าง ๆ ไม่ค่อยมี ชาวบ้านก็ขาดรายได้เมื่อทำนาเสร็จ ทำให้ต้องอพยพไปหาอาหารและหารรายได้ในถิ่นอื่น ทำให้ช้างในหมู่บ้านแห่งนี้เข้าไปหากินอยู่ในหลายจังหวัด จนมีการสร้างศูนย์คชศึกษาแห่งนี้ขึ้น ซึ่งเปรียบเหมือนการทำให้ช้างคืนถิ่น เพราะที่สร้างศูนย์คชศึกษาแห่งนี้ ทำให้คนและช้างมีรายได้เพื่อทำมาประกอบอาชีพและใช้สอยกัน เดินเข้าหมู่บ้านช้างทักทายกับช้างกันถึงเสาบ้าน ขึ้นนั่งคอช้าง จับงวง จับขา ลอดท้องช้าง ขี่ช้างเดินชมวิถีชีวิตแล้วพาช้างไปอาบน้ำที่วังทะลุคือจุดที่แม่น้ำมูลกับแม่น้ำชีไหลมาบรรจบกัน บริเวณนี้เป็นจุดที่ช่วงเย็นควานช้างหรือเจ้าของช้างจะนำช้างมาลงอาบก่อนกลับเข้าไปในหมู่บ้าน สนุกสนานเพลิดเพลิน อีกทั้งยังได้ชมการแสดงช้างที่ศูนย์คชศึกษาแห่งนี้อีกด้วย ซึ่งเราจะได้ชมความสามารถและความน่ารักของช้างแสนรู้ ซึ่งจะมีการแสดงในช่วงเวลา 10.00 น.และเวลา 14.00น.ของทุกวัน และภายในศูนย์คชศึกษายังมีสินค้าที่ระลึกที่เป็นผลิตภัณฑ์จากช้าง มีสินค้าให้เลือกมากมายเหมาะเป็นของฝากให้คนทางบ้านครับ ภายในศูนย์มีพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับช้างและวิถีชีวิตของหมู่บ้านช้างมีการจัดแสดงโครงกระดูกช้างของจริงและอุปกรณ์การคล้องช้างต่าง ๆ ของหมอช้างในอดีต


นอกจากหมู่บ้านช้างที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์โบราณหลายแห่ง อาทิเช่น ปราสาทหินพิมาย ปราสาทหินพนมรุ้ง และปราสาทหินอีกหลายแห่งในจังหวัดสุรินทร์


  • สนามแสดงช้างแสนรู้ จะมีการแสดงความสามารถอันเฉลียวฉลาดและน่ารักของช้างในศูนย์ฯ อาทิ ช้างเต้นรำ ช้างวาดรูป ช้างปาลูกโป่ง ช้างเตะฟุตบอล ฯลฯ โดยจะเปิดการแสดงทุกวัน วันละ ๒ รอบ คือ ๑๐.๓๐ น. และ ๑๔.๓๐ น. ไม่เว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์



     • อาคารพิพิธภัณฑ์ เป็นสถานที่แสดงเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับช้าง อาทิ วิวัฒนาการของช้าง ช้างในยุคต่างๆ โครงกระดูกช้าง โรคที่เกี่ยวข้องกับช้าง เครื่องมือในการคล้องช้าง ภาพวิธีการจับช้างในรูปแบบต่างๆ ลักษณะสำคัญของช้าง อาหารและยาสมุนไพรช้าง วิถีความผูกพันระหว่างคนกับช้าง พิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับช้าง ขั้นตอนวิธีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับช้างที่เสียชีวิต วัฒนธรรมการแต่งกายของชาวกวยหรือกูย เป็นต้น


     • ศาลปะกำ ที่เป็นเสมือนเทวาลัยสิงสถิตของวิญญาณบรรพบุรุษและผีปะกำ ตามความเชื่อของชาวกวยหรือกูย นิยมปลูกสร้างไว้ในชุมชนคุ้มบ้าน


     • วังทะลุ ห่างจากหมู่บ้านช้างเพียง ๓ กิโลเมตร ที่นี่เป็นบริเวณที่แม่น้ำมูลไหลและลำน้ำชีมาบรรจบกัน ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่จังหวัดอุบลราชธานี "วังทะลุ" เป็นสายน้ำที่แวดล้อมไปด้วยป่าที่กว้างใหญ่ไพศาล ก่อให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามซึ่งหาชมได้ยาก ยังมีความอุดมบูรณ์ทางธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ อีกทั้งยังเป็นที่อาบน้ำของช้างในหมู่บ้านยามเย็น
     ติดต่อ : ศูนย์คชศึกษาบ้านตากลาง ต.กระโพ อ. ท่าตูม จ. สุรินทร์


     สอบถามรายละเอียด โทร. +66 (0) 4414 5050

งานช้างและงานกาชาดสุรินทร์


     งานช้างสุรินทร์ (เทศกาลงานช้างและงานกาชาดในจังหวัดสุรินทร์) จะจัดขึ้นทุกปีในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี โดยการแสดงช้างจังหวัดสุรินทร์จะจัดขึ้นที่ สนามกีฬาศรีณรงค์จางวางและสนามแสดงช้างจังหวัดสุรินทร์ โดยในวันงานจะมีการประกวดขบวนรถอาหารช้าง และมีการเลี้ยงบุฟเฟต์ผลไม้ต่างๆที่ช้างโปรดปราณ ชมขบวนแห่ช้างเข้าเมืองกว่า 300 เชือก ส่วนการแสดงช้างจะมีการแสดงความสามารถต่างๆของช้าง เช่น ช้างเต้นรำ ช้างวาดรูป ช้างปาลูกโป่ง ช้างเตะฟุตบอล ส่วนการแสดงที่อลังการน่าตื่นตาตื่นใจและไม่ควรพลาดคือ การแสดงจำลองสงครามที่คนในสมัยก่อนใช้ช้างในการทำสงคราม ในการทำยุทธหัตถีบนหลังช้าง โดยการแสดงดังกล่าวใช้นักแสดงหลายร้อยชีวิตและดูสมจริงมากๆ

ปัญหาการใช้งานช้าง


                ช้างทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นช้างพันธุ์เอเชียหรือพันธุ์แอฟริกา มีความเป็นอยู่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ ชอบอยู่เป็นฝูง ช้างฝูงหนึ่งมักประกอบด้วยช้าง ๕-๑๐  เชือก แต่ละฝูงจะมีช้างพลายตัวหนึ่งเป็นหัวหน้า ซึ่งมักจะเป็นตัวที่แข็งแรงที่สุดของฝูง มีหน้าที่คอยเป็นผู้ปกปักรักษา และป้องกันอันตรายให้แก่ช้างในฝูงของตน และเป็นผู้นำฝูงไปหาอาหารในแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ ช้างป่าที่หากินอยู่ตัวเดียว ถ้าไม่ใช่ช้างแก่ซึ่งเดินตามเพื่อนฝูงไม่ทัน มักจะเป็นช้างเกเรที่ถูกขับออกจากฝูง เรียกว่า "ช้างโทน" ช้างโทนนี้มีนิสัยดุร้าย  ซึ่งอาจเป็นอันตรายแก่ผู้พบเห็นได้  ช้างไทยหรือช้างเอเชียมีนิสัยชอบอากาศเย็น  และไม่ชอบแสงแดดจัด ฉะนั้น  เมื่อเรานำมันมาฝึกใช้งาน เช่น งานชักลากไม้  เราจึงใช้งานช้างเฉพาะตอนเช้าตั้งแต่ ๖.๐๐-๑๒.๐๐ น. ส่วนตอนบ่ายต้องให้มันหยุดพักผ่อน นอกจากนั้น เมื่อเราใช้งานมันติดต่อกันไป ๓ วัน เราจะต้องให้มันหยุดพักงานอีก ๑-๒ วัน แล้วจึงให้มันทำงานใหม่ ทั้งนี้ก็ เพราะว่า  ช้างเป็นสัตว์ที่มีโรคภัยเบียดเบียนได้ง่าย ถ้าเขาใช้งานมันหนักเกินไป มันอาจจะเกิดเจ็บป่วยขึ้น  ในฤดูที่มีอากาศร้อนจัด คือ ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม เจ้าของช้างจะต้องหยุดใช้งานช้างแล้ว  นำช้างของตนไปพักผ่อนในป่าลึกที่มีความร่มเย็น มีหญ้าน้ำบริบูรณ์นานประมาณ ๓ เดือน การพักผ่อนของช้างในฤดูร้อนเช่นนี้ เรียกว่า "การเข้าปางแรม" ช้างเอเชียหรือช้างไทยนั้น  โดยปกติ ช้างพลายหรือช้างตัวผู้ จะมีลักษณะสูงใหญ่ มีงาเป็นที่น่าเกรงขามกว่าช้างตัวเมียหรือช้างพัง ช้างพังจะเตี้ยกว่าช้างพลาย และมีใบหน้าแหลมเล็ก  แก้มตอบ ไม่มีงา จึงมีความสง่าน้อยกว่า  ช้างไทยตัวผู้ที่ไม่มีงา ซึ่งเราเรียกว่า "ช้างสีดอ"    นั้น   มักจะมีขนาดสูงใหญ่กว่าช้างตัวผู้ธรรมดาและมีกำลังแข็งแรงมาก  ฉะนั้น เมื่อมีการต่อสู้กันขึ้น  ช้างสีดอจะเอาชนะช้างพลายที่มีงาได้ โดยใช้งวงรวบเอางาของฝ่ายตรงข้ามบีบเข้าหากัน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับความเจ็บปวดและพ่ายแพ้ไป ปกติช้างสีดอเมื่อเรานำมาฝึกให้เชื่องเพื่อใช้งาน  จะเป็นช้างงานที่ดีมาก  ช้างพลายไทยที่สมบูรณ์เชือกหนึ่ง ๆ  จะมีน้ำหนักประมาณ ๔ ตัน (๔,๐๐๐ กิโลกรัม) และมีอายุยืนถึง ๑๐๐ ปี แต่อาจจะ มีบางตัวที่มีอายุยืนกว่านี้ก็ได้

ปัญหาการใช้งานช้างแสดงละครเร่

 - การลักลอบล่าช้างป่าเพื่อนำลูกช้างมาฝึกแสดง ลูกช้างมักมีอายุน้อยและยังไม่หย่านม อาจเสียชีวิตระหว่างการขนส่ง
  - การฝึกลูกช้างในท่าฝืนธรรมชาติ เช่น หกสูง การไต่บนสะพานไม้แผ่นเดียว การยืนบนถัง ช้างอาจได้รับบาดเจ็บหรือพิการ หรือเสียชีวิตระหว่างการฝึก นอกจากนี้ช้างที่ผ่านการฝึกอย่างทารุณเมื่อโตขึ้นมักจะเป็นช้างที่ก้าวร้าว 

ลักษณะต่างๆของช้าง



 งวง

งวงเป็นลักษณะร่วมกันของจมูกและริมฝีปากบน ซึ่งยืดยาวออกไปและเกิดจากวิวัฒนาการเพื่อทำหน้าที่เฉพาะอย่าง งวงเป็นรยางค์ที่สำคัญและมีประโยชน์ที่สุดของช้าง ช้างแอฟริกามีสิ่งคล้ายนิ้วโผล่ออกมาสองอันที่ปลายงวง ขณะที่ช้างเอเชียโผล่ออกมาแค่อันเดียว งวงช้างมีความละเอียดพอที่จะหยิบหญ้าขึ้นมาเพียงยอดเดียว แต่ก็แข็งแรงพอที่จะหักกิ่งไม้จากต้นได้ สามารถยกของหนักได้ถึง 250 กิโลกรัม และเป็นเนื้อเยื่อที่ละเอียดอ่อนที่สุดเท่าที่เคยศึกษามา
สัตว์กินพืชส่วนใหญ่มีฟันที่ออกแบบมาเพื่อตัดและฉีกส่วนต่าง ๆ ของพืช อย่างไรก็ตาม ยกเว้นช้างวัยอ่อนมาก ช้างมักจะใช้งวงฉีกอาหารแล้วจึงนำมาวางไว้ที่ปาก พวกมันจะกินหญ้าหรือเอื้อมงวงขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อฉีกเอาใบไม้ ผลไม้หรือกิ่งไม้ทั้งกิ่ง หากอาหารที่ต้องการนั้นอยู่สูงเกินเอื้อม ช้างจะพันงวงของตัวเข้ากับต้นไม้หรือกิ่งไม้และเขย่าเอาอาหารลงมาหรืออาจล้มต้นไม้ทั้งต้นลงเลยทีเดียว
งวงยังสามารถใช้สำหรับการดื่มได้ด้วย ช้างจะดูดน้ำเข้าไปในงวง ซึ่งสามารถดูดเข้าไปได้มากที่สุดถึง 14 ลิตรในคราวหนึ่ง จากนั้นจึงพ่นน้ำเข้าไปในปาก ช้างยังสามารถดูดน้ำมาเพื่อพ่นใส่ร่างกายของตัวระหว่างการอาบน้ำได้ด้วย นอกเหนือไปจากการดูดน้ำแล้ว ช้างยังอาจพ่นดินและโคลน ซึ่งจะแห้งตัวและทำหน้าที่เหมือนกับสารกันแดด ขณะว่ายน้ำ งวงเป็นท่อช่วยหายใจที่ยอดเยี่ยม
งวงยังมีบทบาทสำคัญในปฏิสัมพันธ์ทางสังคมหลายอย่าง ช้างที่คุ้นเคยกันจะทักทายกันโดยการพันงวงรอบงวงของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งคล้ายกับการจับมือของมนุษย์มาก นอกจากนี้ ช้างยังสามารถใช้งวงในการเล่นมวยปล้ำ โดยการสัมผัสระหว่างการเกี้ยวพาราสีและปฏิสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูก และสำหรับการแสดงความเหนือกว่า การชูงวงขึ้นสามารถเป็นได้ทั้งการเตือนหรือการคุกคาม ขณะที่งวงที่ลดลงสามารถเป็นสัญลักษณ์ของการจำยอม ช้างยังสามารถป้องกันตนเองได้เป็นอย่างดีโดยการเคลื่อนไหวงวงไปมาที่ผู้รุกรานหรือโดยการจับและขว้างออกไป


ช้างมีจมูกใหญ่ที่สุดในโลก และสามารถรับกลิ่นได้เป็นอย่างดี ซึ่งอาจดีที่สุดเหนือกว่าสัตว์อื่นใดในโลก การแกว่งงวงไปมาของช้างเป็นการทดสอบกลิ่นในอากาศจากทุกทิศทาง ช้างป่าสามารถรับกลิ่นได้ไกลหลายไมล์ซึ่งสามารถรับรู้ถึงอันตรายล่วงหน้าได้ นอกจากนี้ งวงช้างยังสามารถใช้เปล่งเสียงได้อีกด้วย




งา

                งาของช้าเป็นฟันตัดขากรรไกรบนคู่ที่สอง งาจะโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง งาของช้างเพศผู้เติบโตในอัตรา 17 เซนติเมตรต่อปี งาใช้ในการขุดหาน้ำ เกลือหรือรากไม้ เพื่อขูดเปลือกไม้เพื่อที่จะกินเปลือกไม้ เพื่อขุดเข้าไปในต้นบัลบับเพื่อเอาผลไม้ที่อยู่ข้างใน เพื่อย้ายต้นไม้และกิ่งในการเปิดเส้นทาง นอกเหนือจากนี้ ช้างยังใช้ทำสัญลักษณ์บนต้นไม้เพื่อสร้างอาณาเขต และในบางครั้งใช้เป็นอาวุธด้วย
มนุษย์มีความถนัดมือซ้ายหรือมือขวาข้างใดข้างหนึ่งอย่างชัดเจน ช้างเองก็ถนัดใช้งาข้างใดข้างหนึ่งเช่นเดียวกัน งาข้างที่ถนัดมักจะสั้นกว่าและมีรูปร่างกลมกว่าที่ปลายจากการสึกหรอ ช้างแอฟริกาทั้งเพศผู้และเพศเมียมีงาขนาดใหญ่ที่ยาวได้ถึง 3 เมตร และหนักมากกว่า 90 กิโลกรัม ในช้างเอเชีย มีเพียงเพศผู้เท่านั้นที่มีงาขนาดใหญ่ ส่วนเพศเมียจะมีงาขนาดเล็กหรือไม่มีเลย ช้างเพศผู้สามารถมีงาที่ใหญ่กว่าของช้างแอฟริกามาก แต่งาของช้างเอเชียมักจะมีรูปร่างเรียวกว่าและเบากว่า งาที่ยาวที่สุดที่เคยบันทึกไว้ยาว 3.27 เมตร และงาที่หนักที่สุดที่เคยบันทึกไว้หนัก 102.7 กิโลกรัม สถิติในหลายทศวรรษหลังสุดได้ชี้ให้เห็นว่าน้ำหนักของงาช้างโดยเฉลี่ยลดลงอย่างน่าตกใจ เฉลี่ยถึง 0.5 ถึง 1 กิโลกรัมต่อปี งาของช้างเอเชียและช้างแอฟริกาส่วนใหญ่มีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นองค์ประกอบในรูปอะพาไทต์ งาเป็นชิ้นส่วนของเนื้อเยื่อที่มีชีวิต มันจึงค่อนข้างอ่อนเมื่อเทียบกับแร่อื่น เช่น หิน ศิลปินทั้งหลายระบุว่างาเป็นวัสดุที่แกะสลักได้ง่าย ความต้องการเอางาช้างเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการลดจำนวนลงของประชากรช้างทั่วโลก


สายพันธุ์เกี่ยวข้องกับช้างที่สูญพันธุ์ไปแล้วบางสายพันธุ์มีงาในขากรรไกรล่างนอกเหนือไปจากขากรรไกรบน อย่างเช่น Gomphotherium หรือมีเฉพาะในขากรรไกรล่าง อย่างเช่น Deinotherium



ฟัน

               ฟันของช้างแตกต่างไปจากฟันขอสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมอื่นส่วนใหญ่ โดยปกติช้างจะมีฟันอยู่ 28 ซี่ ซึ่งประกอบด้วยฟันตัดคู่ที่สองขากรรไกรบน เป็นงา ฟันน้ำนมที่ขึ้นก่อนงา ฟันกรามน้อย 12 ซี่ โดยมี 3 ซี่อยู่ในขากรรไกรแต่ละข้าง และฟันกราม 12 ซี่ โดยมี 3 ซี่อยู่ในขากรรไกรแต่ละข้างเช่นเดียวกัน
ขณะที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำมนมส่วนใหญ่เมื่อโตขึ้น ฟันน้ำนมจะถูกแทนที่ด้วยชุดฟันแท้ถาวร แต่ช้างกลับมีวัฎจักรสับเปลี่ยนหมุนเวียนฟันเกิดขึ้นตลอดชั่วชีวิต ช้างมีฟันน้ำนม ซึ่งจะหลุดไปและงาจะเข้ามาแทนที่เมื่ออายุได้หนึ่งปี แต่ฟันเคี้ยวอาจสามารถมีได้ถึงห้า หรือที่พบได้น้อยครั้งมาก หกครั้ง ตลอดช่วงชีวิตของช้าง ช้างใช้ฟันกรามและฟันกรามน้อยเพียงสี่ซี่ หรือหนึ่งซี่ในขากรรไกรแต่ละข้างเท่านั้นเป็นหลักในช่วงชีวิตหนึ่ง ๆ ของมัน


ฟันแท้จะไม่แทนที่ฟันน้ำนมโดยการเกิดจากขากรรไกรในแนวตรงอย่างฟันของมนุษย์ แต่ฟันใหม่นั้นจะเติบโตขึ้นด้านในที่หลังปาก แล้วจะผลักดันฟันเก่าออกมาด้านหน้า ขณะที่ฟันเก่าจะแตกออกเป็นชิ้น ๆ จนกว่าฟันเหล่านี้จะหลุดหายไป ในช้ารงแอฟริกา ฟันกรามนอยสองชุดแรกจะเข้าที่เมื่อช้างเกิด ฟันเคี้ยวชุดแรกที่อยู่ในแต่ละข้างของขากรรไกรนั้นจะหลุดออกมาเมื่อช้างอายุได้สองปี ฟันเคี้ยวชุดที่สองจะหลุดออกเมื่อช้างมีอายุได้ประมาณหกปี ฟันชุดที่สามจะหลุดออกไปเมื่ออายุได้ 13 ถึง 15 ปี ฟันชุดที่สี่จะหลุดออกเมื่อช้างมีอายุได้อย่างน้อย 28 ปี ฟันชุดที่ห้าจะหลุดออกเมื่อช้างมีอายุได้ในช่วง 40 ปี และฟันชุดที่หก (มักเป็นชุดสุดท้าย) จะอยู่กับช้างไปจนกระทั่งตาย หากช้างตัวหนึ่งมีอายุมากกว่า 60 ปี และฟันกรามชุดสุดท้ายไม่สามารถใช้การได้อีก มันก็จะไม่สามารถหาอาหารกินได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ฝีบนฟันเคี้ยว เช่นเดียวกับที่งาและขากรรไกร เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยในช้าง และอาจทำให้ช้างตายก่อนกำหนดได้



ผิวหนัง

                ช้างอาจถูกเรียกว่า สัตว์หนังหนา (pachyderms) ซึ่งมาจากการจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ดั้งเดิม หนังของช้างนั้นมีความหนามากปกคลุมส่วนใหญ่ของร่างกาย และวัดความหนาได้ประมาณ 2.5-3 เซนติเมตร อย่างไรก็ตาม หนังรอบปากและด้านในหูนั้นค่อนข้างบาง ผิวหนังของช้างมีขนขึ้นอยู่บ้างเล็กน้อย โดยจะสามารถเห็นได้ชัดเจนมากในช้างอายุน้อย แต่เมื่อช้างมีอายุมากขึ้น ขนนี้มีจำนวนลดลงและบางลง  แต่ขนจะยังคงปกคลุมอยู่ที่หัวและหางของพวกมัน ผิวหนังของมันถึงแม้จะหนาแต่ก็มีความละเอียดอ่อนมาก โดยสามารถสัมผัสถึงแมลงและความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมได้


ช้างทุกชนิดแท้จริงแล้วจะมีผิวหนังสีเทา แต่มักพบว่ามีสีน้ำตาลหรือแดงตามดินแถบนั้นเพราะแช่ตัวอยู่ในปลักโคลน โคลนทำหน้าที่เสมือนครีมกันแดด ซึ่งปกป้องผิวหนังของมันจากรังสีอัลตราไวโอเล็ตที่รุนแรง นอกจากนี้ การแช่ตัวในโคลนยังช่วยให้ผัวหนังสามารถรักษาอุณหภูมิของร่างกายไว้ได้และป้องกันแมลงกัดต่อย ทั้งนี้ ช้างเป็นสัตว์ที่ไม่มีต่อมเหงื่อ ผิวหนังของช้างมีรอยย่นเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัส ซึ่งจะช่วยให้ความเย็นและเก็บกักความชื้นไว้ได้

ขาและเท้า


                ขาของช้างมีรูปร่างค่อนข้างคล้ายกับเสา เนื่องจากขาของมันต้องรองรับร่างกายอันใหญ่โต ช้างใช้พลังงานกล้ามเนื้อในการยืนน้อยเนื่องจากขาของมันตั้งตรงและฝ่าเท้ามีขนาดใหญ่ ด้วยเหตุผลนี้เอง ช้างจึงสามารถยืนได้เป็นเวลานานโดยไม่รู้สึกเหนื่อย อันที่จริงแล้ว ช้างแอฟริกาจะนอนลงกับพื้นน้อยครั้งมาก เฉพาะตอนที่มันป่วยหรือได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ตรงกันข้ามกับช้างอินเดียที่นอนลงกับพื้นบ่อยครั้งกว่า
เท้าของช้างมีรูปร่างเกือบกลม เท้าหลังแต่ละข้างของช้างแอฟริกามี 3 เล็บ และเท้าหน้าแต่ละข้างมี 4 เล็บ ส่วนเท้าหลังแต่ละข้างของช้างอินเดียนั้นมี 4 เล็บ และเท้าหน้าแต่ละข้างมี 5 เล็บ ใต้กระดูกของเท้านั้นเป็นวัสดุแข็งคล้ายวุ้นซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องกันกระแทก ช้างสามารถว่ายน้ำได้ แต่ไม่สามารถวิ่งเหยาะ ๆ กระโดด หรือวิ่งห้อได้ ช้างมีท่าเดินอยู่สองท่า คือ ท่าเดินและท่าที่เร็วกว่าซึ่งคล้ายกับการวิ่ง
ในการเดิน ขาของช้างจะทำหน้าที่เหมือนกับตุ้มน้ำหนัก โดยมีสะโพกและไหล่ขยับขึ้นลงขณะที่วางเท้าบนพื้น ท่าเดินเร็วของช้างนั้นไม่ได้เข้าข่ายการวิ่งทั้งหมด เพราะช้างจะไว้เท้าข้างหนึ่งไว้บนพื้นเสมอ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วของช้างนั้นใช้ขาคล้ายกับสัตว์อื่นที่กำลังวิ่งมากกว่า โดยใช้สะโพกและไหล่ยกขึ้นและลงขณะที่เท้าวางอยู่บนพื้น ในการเดินท่านี้ ช้างจะยกเท้าสามข้างขึ้นจากพื้นในเวลาเดียวกัน และเมื่อเท้าหลังทั้งสองข้างและเท้าหน้าทั้งสองข้างอยู่เหนือพื้นดินในขณะเดียวกันแล้ว ท่าเดินนี้จะมีลักษณะคล้ายกับที่เท้าหน้าและเท้าหลังผลัดกันวิ่ง การทดสอบที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยมีรายงานว่า การเคลื่อนไหวเร็ของช้างนั้นจะ "วิ่ง" โดยใช้เท้าหน้า และจะ "เดิน" โดยใช้เท้าหลัง
แม้ว่าช้างจะเริ่ม "วิ่ง" ด้วยท่าเดินนี้ด้วยอัตราเร็ว 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่มีรายงานว่าช้างสามารถเพิ่มความเร็วจนแตะระดับ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ โดยไม่เปลี่ยนท่าในกาารเดิน จากการทดสอบที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ช้างที่เดินเร็วที่สุดนั้นทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ความเร็วระดับนี้ สัตว์สี่เท้าอื่นส่วนใหญ่แล้วจะเปลี่ยนท่าเป็นท่าวิ่งห้อแล้ว แม้ว่าจะคิดความยาวของขาแล้วก็ตาม การเคลื่อนไหวคล้ายสปริงสามารถอธิบายความแตกต่างระหว่างการเคลื่อนไหวของช้างกับสัตว์อื่น ๆ ได้


นักสัตววิทยาชาวอังกฤษ ได้ทำการศึกษาซากดึกดำบรรพ์ของช้างพบว่าช้างมีนิ้วเท้า 6 นิ้ว ขณะวิวัฒนาการเป็นสัตว์บกเมื่อ 40 ล้านปีก่อน

หู

               หูที่สามารถกระพือได้ขนาดใหญ่ของช้างนั้นยังมีความสำคัญต่อการรักษาสมดุลอุณหภูมิร่างกายช้างด้วย หูช้างเป็นหนังชั้นบางมากซึ่งถูกขึงอยู่เหนือกระดูกอ่อนและเครือข่ายหลอดเลือดจำนวนมาก ในวันที่มีอากาศร้อน ช้างจะกระพือหูอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะสร้างลมอ่อน ๆ ขึ้น ลมนี้ช่วยลดอุณหภูมิหลอดเลือดพื้นผิว และจากนั้น เลือดที่ถูกทำให้เย็นลงนั้นจะหมุนเวียนไปทั่วส่วนที่เหลือของร่างกายช้าง เลือดที่เข้าสู่หูนั้นสามารถลดอุณหภูมิลงได้ถึง 6 องศาเซลเซียสก่อนที่จะหมุนเวียนไปยังส่วนอื่นของร่างกาย ช้างแอฟริกาและช้างเอเชียมีขนาดใบหูแตกต่างกัน ซึ่งบางส่วนสามารถอธิบายได้ด้วยการกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ ช้างแอฟริกามีถิ่นที่อยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตร ที่ซึ่งมีอากาศร้อนกว่า ดังนั้นจึงต้องมีหูที่มีขนาดใหญ่กว่าตามไปด้วย ส่วนช้างเอเชียซึ่งอยู่ไกลขึ้นไปทางเหนือ อยู่ในอากาศที่เย็นกว่าเล็กน้อย จึงมีหูขนาดเล็กกว่าเช่นกัน


ช้างยังใช้หูในการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและระหว่างช่วงเวลาหาคู่ของเพศผู้ หากช้างต้องการข่มขวัญนักล่าหรือศัตรู มันจะกางหูออกกว้างเพื่อทำให้ดูเหมือนกับว่าตัวมันมีขนาดใหญ่และสง่าขึ้น ระหว่างฤดูผสมพันธุ์ เพศผู้จะปล่อยกลิ่นออกทางต่อมใต้ขมับซึ่งอยู่ห่างใบหูของมัน จอยซ์ พูล นักวิจัยช้างที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้ตั้งทฤษฎีว่าช้างเพศผู้จะพัดหูของมันเพื่อช่วยให้กลิ่นนี้กระจายออกไปไกลยิ่งขึ้น

วันช้างไทย

        เมื่อ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ วันที่ 13 มีนาคม ของทุกปีเป็นวันช้างไทย  เพื่อให้คนไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญ และการดำรงอยู่ของช้างไทย

ที่มาของวันช้างไทย                                                                                                                                                               
เกิดจากการริเริ่มของคณะอนุกรรมการประสานงานการอนุรักษ์ช้างไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานประสานงาน องค์การภาครัฐและเอกชนที่ทำงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์ช้างไทยคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเล็งเห็นว่าหากมีการสถาปนาวันช้างไทยขึ้น ก็จะช่วยให้ประชาชนคนไทย หันมาสนใจช้าง รักช้าง หวงแหนช้าง ตลอดจนให้ความสำคัญต่อการให้ความช่วยเหลืออนุรักษ์ช้างมากขึ้น  คณะอนุกรรมการฯ จึงได้พิจารณาหาวันที่เหมาะสม ซึ่งครั้งแรกได้พิจารณาเอาวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทำยุทธหัตถี มีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา แต่วันดังกล่าวถูกใช้เป็นวันกองทัพไทยไปแล้ว จึงได้พิจารณาวันอื่น และเห็นว่าวันที่ 13 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่คณะกรรมการคัดเลือกสัตว์ประจำชาติ มีมติให้ช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยนั้นมีความเหมาะสม จึงได้นำเสนอมติตามลำดับขั้นเข้าสู่คณะรัฐมนตรี โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีกทางหนึ่ง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2541 เห็นชอบให้วันที่ 13 มีนาคม เป็นวันช้างไทย และได้ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2541  ผลจากการที่ประเทศไทยมีวันช้างไทยเกิดขึ้น นับเป็นการยกย่องให้เกียรติว่าเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญอีกครั้ง นอกเหนือจากเกียรติที่ช้างเคยได้รับในอดีต ไม่ว่าจะเป็นช้างเผือกในธงชาติ หรือช้างเผือกที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ หรือสัตว์คู่พระบารมีของพระมหากษัตริย์

อาหารของช้าง

                ช้างจะกินอาหารประมาณร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัว/วัน หรือประมาณวันละ 200 - 400 กิโลกรัมต่อตัวอาหารช้าง

แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ประกอบด้วย

1. อาหารจำพวกหญ้า (Grassese) ได้แก่ หญ้าแพรก หญ้ากล้อง หญ้าปากหวาย หญ้าคา หญ้ากก อ้อ พงเขม ฯลฯ
2. อาหารจำพวกไม้ไผ่ (Bamboos) ได้แก่ ไม้ไผ่หนาม ไผ่ป่า ไผ่บ้าน ไผ่หลาม ไม้รวก ไม้ซาง ฯลฯ
3. อาหารจำพวกเถาวัลย์ และไทร (Greepers and Flews) ได้แก่ บอระเพ็ด สัมป่อย เครือสะบ้า กระทงลาย ผัดแปปป่า หวาย สลอดน้ำ ไทร เครือเขาน้ำ เถาวัลย์แดง ฯลฯ
4. อาหารจำพวกไม้ยืนต้น (Trees Palms and Shrubs) ได้แก่ กล้วย ขนุน กุ่ม สัก งิ้วป่า ถ่อน มะพร้าว มะเดื่อ มะขามบ้าน มะเฟือง มะไฟ จามจุรี (ก้ามปูหรือฉำฉา) ปอเสา มะเดื่อปล้อง โพธิ์ มะยมป่า มะขาม มะตูม มะขวิด ระกำ ฯลฯ
5. อาหารจำพวกพืชไร่ (Cultivated Crops) ได้แก่ ข้าวโพด ข้าวฟ่าง เดือย สัปปะรด ต้นถั่วแระ อ้อย ฟัก แตง ฯลฯ

อาหารเลี้ยงช้าง โดยทั่วๆไป

           1.อ้อย 100 ก.ก ต่อช้าง 1 เชือก

          2.กล้วยสุก 20 หวี หรือ 20 ก.ก. ต่อช้าง 1 เชือก

          3.สับปะรด 20 ลูก หรือ 20 ก.ก. ต่อช้าง 1 เชือก

          4.แตงโม 20 ลูก หรือ 20 ก.ก. ต่อช้าง 1 เชือก

          5.ต้นข้าวโพดสด 40 ก.ก ต่อช้าง 1 เชือก

          6.แตงกวา 20 ก.ก. ต่อช้าง 1 เชือก

          7.มันแกว 20 ก.ก. ต่อช้าง 1 เชือก


 ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก